ในบทความนี้แอดมินฟร้อนเทลขอพามาทำความรู้จักกับการชุบเครื่องประดับด้วยไฟฟ้า มาฝากกันครับ จะเป็นอย่างไร ไปดูกันเลยครับ
ปัจจุบันกระแสแฟชั่นเครื่องประดับมีความนิยมในการนำวัสดุต่างๆ ที่ไม่ใช่โลหะมีค่ามาทำเครื่องประดับที่เรียกว่าเครื่องประดับทดแทน ซึ่งเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นจำพวก ทองเหลือง ทองแดง อะลูมิเนียม หรือสเตนเลส จะถูกเข้าสู่กระบวนการชุบเพื่อเพิ่มความแข็งแรง ป้องกันการผุกร่อน
การชุบโลหะด้วยไฟฟ้า คืออะไร?
คือ หนึ่งในวิธีการชุบเครื่องประดับที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน โดยนำเครื่องประดับที่ต้องการชุบต่อเข้ากับขั้วลบของแหล่งกำเนิดไฟฟ้ากระแสตรง และแผ่นโลหะที่ไม่ว่องไวต่อปฏิกิริยา เช่น แผ่นสเตนเลสต่อเข้ากับขั้วบวก จุ่มลงไปในน้ำยาชุบเครื่องประดับ เมื่อกระแสไฟฟ้ามีการเคลื่อนที่ โลหะในน้ำยา ชุบก็จะวิ่งไปเกาะยังผิวเครื่องประดับ เกิดเป็นผิวชุบบางๆบนเครื่องประดับ กระบวนการชุบด้วยไฟฟ้า ทำอย่างไรบ้าง?
การชุบด้วยไฟฟ้าเริ่มต้นด้วยการเตรียมวัสดุพื้นผิว ซึ่งโดยทั่วไปจะทำจากโลหะ เช่น ทองแดง
ทองเหลือง หรือเงิน วัสดุนี้ทำหน้าที่เป็นฐานที่จะใช้เคลือบโลหะ
ก่อนการชุบด้วยไฟฟ้า พื้นผิวจะถูกทำความสะอาดอย่างทั่วถึงเพื่อขจัดสิ่งสกปรก จาระบี
หรือสิ่งปนเปื้อนอื่นๆ ที่อาจรบกวนกระบวนการชุบ
เมื่อพื้นผิวสะอาดแล้ว ให้จุ่มลงในสารละลายอิเล็กโทรไลต์ที่มีไอออนของโลหะละลายอยู่
อิเล็กโทรไลต์ที่เป็นสื่อกระแสไฟฟ้าซึ่งมักทำจากโลหะที่จะชุบก็จะถูกจุ่มลงในสารละลายด้วย
เมื่อกระแสไฟฟ้าถูกจ่ายให้กับระบบ ไอออนของโลหะจากอิเล็กโทรไลต์จะถูกดึงดูดไปยังพื้นผิวของสารตั้งต้น ซึ่งจะสะสมตัวและก่อตัวเป็นสารเคลือบบางๆ
โดยวุสดุที่ใช้ในการชุบเครื่องประดับด้วยมีด้วยกัน 4 อย่าง
1.การชุบพาลาเดียม
เป็นโลหะมีค่าในกลุ่มเดียวกับแพลทินัม มีสีขาวมันวาว ทนต่อการกัดกร่อนของกรดและด่างได้ดี มีจุดหลอมเหลวสูงถึง 1,552 °C จึงนิยมชุบบนชั้นเงิน เพื่อต้านทานการหมอง
2. การชุบทองคำ
ทองคำบริสุทธิ์เป็นโลหะมีค่า มีราคาแพง จุดเด่นของทองคำคือมีสีทองแวววาว ไม่สึกกร่อน และไม่หมอง สามารถผสมกับโลหะอื่นๆ เพื่อให้มีสีที่แตกต่างไปจากเดิมได้ เช่น ผสม กับ ทองแดง (Cu) เพื่อให้เนื้อทองมีสีชมพู จะเรียกว่า “โรสโกลด์” หรือ ผสมกับเงิน (Ag) เพื่อให้ทองมีสีขาว เป็นต้นโดยทั่วไปจะนิยมชุบทองประมาณ 1-5 um เท่านั้น
3. การชุบเงิน
เป็นโลหะมีค่า ที่มีสีขาว สะท้อนแสงแวววาว สามาถนำความร้อนและนำไฟฟ้าได้ดีมาก ส่วนใหญ่คนจะนิยมนำเงิน 99.99% มาชุบเงิน 92.5% (Sterling Silver) ประมาณ 1-5 um เพื่อเพิ่มความวาวให้กับเครื่องประดับ หรือชุบเงินเพื่อรองพื้นแล้วนำไปชุบด้วยโลหะมีค่า อาทิ ทองคำ และโรเดียม อีกชั้นเนื่องจากเงินจะทำปฏิกิริยากับซัลเฟอร์ ทำให้หมองคล้ำได้ง่าย
4. การชุบโรเดียม
เป็นโลหะมีค่ากลุ่มเดียวกับแพลทินัม (Platinum) มีสีขาว ทนต่อการกัดกร่อนของกรดและด่างได้ดี มีราคาแพง มีจุดหลอมเหลวสูงมากจึงไม่สามารถนำมาใช้หล่อเป็นตัวเรือนเครื่องประดับได้ จึงนิยมนำมาทำเป็นน้ำยาสำหรับชุบเครื่องประดับ เพราะทำให้ผิวชุบมีความแข็งสูง ทนทานต่อการขัดสีและการเกิดรอยขีดข่วนได้ดี สามารถกันหมองให้กับผิวโลหะที่เกิดการหมองคล้ำได้ง่าย เช่น โลหะเงิน โดยเครื่องประดับส่วนมากจะชุบโรเดียมประมาณ 0.1-0.5 m
ประโยชน์ของการชุบด้วยไฟฟ้า
1. ช่วยให้ช่างอัญมณีสามารถตกแต่งผิวสำเร็จได้หลากหลาย รวมถึงพื้นผิวมันเงา ผิวด้าน ผิวสัมผัส หรือพื้นผิวที่มีสี โลหะทั่วไปที่ใช้ในการชุบ ได้แก่ ทองคำ เงิน โรเดียม และแพลทินัม ซึ่งแต่ละชนิดมีคุณสมบัติด้านสุนทรียภาพอันเป็นเอกลักษณ์
2. ช่วยเพิ่มชั้นการป้องกันให้กับวัสดุซับสเตรต ทำให้เครื่องประดับทนทานต่อรอยขีดข่วน ความมัวหมอง และการกัดกร่อนได้ดียิ่งขึ้น สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มอายุการใช้งานและความสามารถในการสวมใส่ของชิ้นงานสำเร็จรูป
3. ช่วยให้ความยืดหยุ่นในการออกแบบเครื่องประดับ ช่วยให้ช่างฝีมือสามารถสร้างลวดลาย ดีไซน์ และการตกแต่งที่ซับซ้อนบนพื้นผิวโลหะได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้สามารถใช้โลหะทางเลือก เช่น ทองเหลืองหรือทองแดง เป็นวัสดุพื้นผิว ซึ่งสามารถชุบด้วยโลหะมีค่าเพื่อให้ได้รูปลักษณ์ที่ต้องการด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า
4. การชุบด้วยไฟฟ้าเป็นวิธีการที่คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพในการเคลือบโลหะกับชิ้นส่วนเครื่องประดับ ช่วยให้สามารถควบคุมความหนาและองค์ประกอบของชั้นชุบได้อย่างแม่นยำ ลดการสูญเสียวัสดุ และเพิ่มการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ติดตามเรื่องราวดีๆได้ที่ ฟร้อนเทล @Fronttale.
Comments