top of page

ฟร้อนเทล - ทำความรู้จัก 10 รูปแบบการฝังเพชร เลือกอย่างไรให้เหมาะกับตัวตนและไลฟ์สไตล์ชีวิต

รูปแบบการฝังเพชรที่พบเห็นในท้องตลาดปัจจุบันมีทั้งหมดหลายแบบ โดยการเลือกรูปแบบจะขึ้นอยู่กับกิจวัตรประจำวัน และโอกาสที่จะสวมใส่แหวนวงนั้น เพราะแต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป ในบทความนี้แอดมินฟร้อนเทลจะพาทุกคนมารู้จักวิธีการฝังเพชรดังต่อไปนี้กันครับ

มรกตแต่ละชนิด
ฟร้อนเทลนำเสนอรูปแบบการฝังเพชร

การฝังเพชร คืออะไร?

คือ เทคนิคการยึดเกาะเพชรไว้บนแหวน โดยสามารถยึดได้หลากหลายรูปแบบ ขึ้นกับรูปทรงของเพชร การออกแบบแหวนเพชร และการใช้งานว่าต้องการสวมใส่ในชีวิตประจำวัน หรือสวมใส่ในโอกาสพิเศษต่างๆ โดยการฝังเพชรสามารถฝังได้กับทั้งแหวนเงิน แหวนทองขาว และแหวนทองคำ โดยแหวนแต่ละแบบก็จะเหมาะกับการฝังเพชรที่แตกต่างกัน เพื่อให้ภาพรวมของแหวนออกมาสวยงาม


ซึ่งรูปแบบการฝังเพชรแต่ละวิธีจะมีจุดเด่น รวมถึงข้อดี-ข้อเสียที่แตกต่างกัน จะมีแบบไหนบ้างไปดูกันเลยครับ


 รูปแบบที่ 1 : การฝังแบบหนามเตย (Prong Setting)

หนามเตยเป็นการฝังที่ได้ความนิยมมากที่สุด โดยมีลักษณะเป็นก้านหรือขายึดเกาะเพชรให้ติดกับตัวเรือน จำนวนขาที่นิยมได้แก่ หนามเตย 3 ขา 4 ขา และ 6 ขา ซึ่งตัวเรือนมีลักษณะโปร่ง แสงลอดผ่านเพชรได้ง่าย ทำให้เพชรเล่นไฟได้ดีขึ้น และโดดเด่นมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ หนามเตยยังยึดเกาะเพชรได้หลากหลายรูปทรง ทำความสะอาดง่าย และคลาสสิกมากที่สุดในบรรดาการฝังเพชรทั้งหมด


ข้อเสีย

- หนามเตยที่ชูสูงเกินไปมักเกี่ยวติดเสื้อผ้า ผม เฟอร์นิเจอร์ และวัตถุอื่นๆได้ง่าย ดังนั้นหากต้องใส่เป็นประจำทุกวัน ไม่ควรชูหัวเพชรให้สูงมากเกินไป

- หากสวมใส่เป็นประจำ ก้านหนามเตยจะหลวมขึ้น ควรนำก้านหนามเตยไปปรับให้แน่นทุก 2 ปี ขอบเพชรอาจบิ่นหากถูกกระแทกบ่อยๆ


 รูปแบบที่ 2 : การฝังแบบล้อม (Halo Setting)

การฝังเพชรล้อมคือการนำเพชรเม็ดเล็กมาฝังรอบเพชรเม็ดกลางหรือเพชรเม็ดใหญ่ที่สุด เพื่อดึงความโดดเด่นให้เพชรเม็ดกลางดูมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่ากะรัตน้ำหนักจริง ทำให้เพชรเปล่งประกายได้ดียิ่งขึ้น ช่วยยึดเกาะเพชรเม็ดกลางให้มั่นคง และเข้ากับเพชรหลากหลายรูปทรง เหมาะกับผู้ที่ต้องการเลือกซื้อเพชรเม็ดกลางที่ขนาดไม่ใหญ่มาก หรือมีงบจำกัด


ข้อเสีย

- เพชรเม็ดเล็กที่ล้อมรอบเม็ดกลางมักหลุดหายได้ง่าย

- ปรับไซส์ได้ยากโดยเฉพาะแหวนที่ผนวกการฝังแบบจิกไข่ปลาไว้ที่บ่าแหวน


รูปแบบการฝังเพชร
ฟร้อนเทลรูปแบบการฝังเพชรแบบหนามเตยและแบบล้อม

 รูปแบบที่ 3 : การฝังแบบจิกไข่ปลา (Pave Setting)

คือการฝังเพชรที่เลียนแบบลักษณะการปูถนน เป็นการนำเพชรเม็ดเล็กมายึดติดกันด้วยเม็ดโลหะกลมเป็นแพรอบตัวเรือน ซึ่งเม็ดโลหะจะมีขนาดเล็กมาก ฉะนั้นหากเลือกใช้ตัวเรือนเป็นทองคำขาวหรือแพลทินัม จะเกิดระยิบระยับเป็นประกายมากเป็นพิเศษ โดยส่วนใหญ่นิยมใช้เพชรราว 0.5 – 2 ตังเพียงเท่านั้น ซึ่งการฝังเพชรแบบนี้เหมาะสำหรับการสวมใส่ในชีวิตประจำวัน เพราะค่อนข้างแข็งแรงเป็นพิเศษ หากมีเพชรเม็ดกลางชูเพชรให้โดดเด่นและเล่นไฟมากขึ้น


ข้อเสีย

- ปรับไซส์ได้ยากมากโดยเฉพาะแหวนที่ฝังเพชรแบบจิกไข่ปลาเต็มวง

- เพชรอาจมีโอกาสเพียงเล็กน้อยที่จะหลุดหายไปบ้าง


 รูปแบบที่ 4 : การฝังแบบเหยียบหน้า หรือ ฝังจม (Swiss / Flush / Gypsy Setting)

จะเป็นการนำเพชรฝังลงไปบนตัวเรือนแหวน โดยเพชรจะมีลักษณะเรียบไปกับตัวเรือน ป้องกันการหลุดร่วงของเพชรได้เป็นอย่างดีเพราะยึดเกาะแน่นหนา เหมาะกับผู้ที่ใช้มือในการทำกิจกรรมตลอดเวลา หรือต้องการสวมใส่แหวนเป็นประจำ ส่วนใหญ่มักใช้เป็นแหวนแต่งงานของผู้ชาย เพราะแหวนค่อนข้างเรียบ อย่างไรก็ตามการฝังเพชรแบบนี้ไม่เหมาะกับอัญมณีที่เปราะบาง เพราะช่างเพชรจะต้องใช้ค้อนทุบอัญมณีชิ้นนั้นให้ยึดติดอยู่บนหลุมของตัวเรือนแหวน


ข้อเสีย

- ตัวเรือนแหวนจะบดบังความงามของเพชร เพราะแสงไฟไม่สามารถลอดผ่านเพชรได้ ทำให้เพชรไม่เล่นไฟอย่างที่ควรจะเป็น

- ไม่ค่อยโดดเด่นสะดุดตาเท่าที่ควร แต่เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบความเรียบง่าย


รูปแบบการฝังเพชร
ฟร้อนเทลรูปแบบการฝังเพชรแบบจิกไข่ปลาและแบบเหยียบหน้า

 รูปแบบที่ 5 : การฝังแบบหนีบ (Tension Setting)

การฝังเพชรแบบหนีบจะอาศัยแรงดันจากโลหะที่ประกบเพชรเม็ดกลางอยู่ โดยอาศัยร่องเล็ก ๆ ยึดขอบเพชรไว้ ซึ่งหน้าเพชรจะเรียบเสมอไปกับตัวเรือน จึงเหมาะกับการสวมใส่ในชีวิตประจำวัน หรือผู้ที่ต้องทำกิจกรรมหนัก ๆ ทุกวัน เพราะค่อนข้างแข็งแรงและเกิดรอยขูดขีดที่หน้าเพชรได้ยากพอสมควร มีดีไซน์ที่ทันสมัย แปลกตา เป็นการฝังเพชรที่มีเอกลักษณ์ชัดเจน


ข้อเสีย

- ทำได้ยากพอสมควร ควรอาศัยช่างมากประสบการณ์เท่านั้น เพราะต้องเลเซอร์ร่องให้พอดีกับขอบเพชร

- หากใช้ตัวเรือนแหวนที่หนามากเกินไปอาจทำให้เพชรมีขนาดกะรัตน้ำหนักแลดูเล็กลงกว่าความเป็นจริง

- เพชรอาจหลุดหายได้หากเกิดการกระแทกที่รุนแรง,

- ปรับไซส์ได้ค่อนข้างยาก และมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง

- ต้องเลือกเพชรคุณสูงเท่านั้น เพราะไม่มีหนามเตยช่วยปกปิดตำหนิใด ๆ ของเพชร


 รูปแบบที่ 6 : การฝังแบบหุ้ม (Bezel Setting)

การฝังเพชรแบบหุ้มค่อนข้างคล้ายกับการฝังเพชรแบบหนามเตย แต่ปกป้องเพชรการแรงกระแทกได้ดีกว่า เพราะโลหะจะหุ้มรอบเม็ดเพชร หรือจะเลือกหุ้มเพียงบางส่วนก็ได้ ดีไซน์ดูทันสมัยตลอดเวลา เก็บรักษาดูแลและทำความสะอาดง่าย ไม่เกี่ยวติดผมเผ้า เสื้อผ้า และเฟอร์นิเจอร์ เป็นอีกหนึ่งวิธีการฝังเพชรที่แข็งแรงมากที่สุด เหมาะกับผู้ที่ต้องเน้นความคล่องตัวในการทำกิจกรรมแต่ละวัน


ข้อเสีย

- เพชรไม่ค่อยโดดเด่นระยิบระยับเท่าไหร่ เพราะแสงสอดผ่านได้น้อยมาก โดยเฉพาะหากเลือกฝังหุ้มล้อมรอบเม็ดทั้งเพชร

- เพชรมีขนาดเล็กกว่าความเป็นจริงเพราะถูกบดบังด้วยโลหะที่ล้อมอยู่


รูปแบบการฝังเพชร
ฟร้อนเทลรูปแบบการฝังเพชรแบบหนีบและแบบหุ้ม

 รูปแบบที่ 7 : การฝังแบบล็อก สอด (Channel Setting)

การฝังเพชรแบบสอดเหมาะกับผู้ที่อยากสวมใส่ได้ตลอดทั้งวัน โดยไม่ต้องพะวงเรื่องความปลอดภัยของเพชร เป็นการฝังที่นำเพชรมาเรียงกันเป็นแถวโดยไม่มีโลหะใดมาขวางระหว่างเพชรแต่ละเม็ด ทำให้เพชรเปล่งประกายได้ดี ส่วนใหญ่นิยมใช้เป็นแหวนแต่งงาน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการสวมทั้งแหวนหมั้น และแหวนแต่งงานไว้ในนิ้วเดียวกัน เพราะเป็นเพียงแหวนเส้นเดียว ไม่มีเพชรเม็ดกลาง หากต้องเลือกใส่แหวนใดแหวนหนึ่ง แหวนฝังแบบสอดถือเป็นตัวตายตัวแทนที่ปลอดภัย ไม่เกี่ยวผม และกันเพชรบิ่นได้ดี


ข้อเสีย

- ปรับไซส์แหวนลำบากพอสมควร และอาจทำให้แหวนเสียสมดุลเพราะต้องลดทอนหรือเพิ่มจำนวนเพชรที่สอดไว้ในตัวเรือนแหวน

- ฝุ่นฝังตัวตามซอกเพชรได้ง่าย จึงทำความสะอาดได้ค่อนข้างยาก


 รูปแบบที่ 8 : การฝังแบบไร้หนาม (Invisible Setting)

เป็นการฝังที่ค่อนข้างยาก ต้องใช้ช่างที่มีความชำนาญและ มีความปราณีตเป็นอย่างมาก นิยมฝังกับเพชรรูปทรงสี่เหลี่ยม (Princess) ที่ต้องฝังตั้งแต่ 2 แถวขึ้นไป โดยไม่มีขอบของโลหะมาคั้นกลาง ทำให้ไม่มีอะไรมาบังประกายของตัวเพชร


ข้อดี

- เป็นการทำให้เห็นหน้าเพชร พลอย แบบชัดเจน จึงทำให้มีความแวววาวเป็นประกายมากยิ่งขึ้น

รูปแบบการฝังเพชร
ฟร้อนเทลรูปแบบการฝังเพชรแบบล็อกสอดและแบบไร้หนาม

 รูปแบบที่ 9 : การฝังแบบหนีบหลายเม็ด (Bar Setting)

ฝังเพชรเรียงต่อๆกัน โดยมีทองมาคั้นกลาง แต่ควรระมัดระวังในการสวมใส่ เนื่องจากเพชรมีพื้นที่ในการยึดติดกับตัวเรือนค่อนข้างน้อย


ข้อดี

- โชว์ตัวด้านข้างเพชรได้อย่างเต็มที่ นิยมทำรอบแหวน แต่การสวมใส่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมากทั้งการกระแทก หยิบจับสิ่งของ


 รูปแบบที่ 10 : การฝังแบบหุ้มหัวท้าย (Half Bezel Setting)

รูปแบบการฝังที่มีขอบทองมาหุ้มไว้เฉพาะตรงหัวท้ายของตัวเพชร


ข้อดี

- การฝังแบบนี้จะช่วยให้เพชรดูเม็ดใหญ่ขึ้น ปกปิดตำหนิของเพชรได้เป็นอย่างดี และปกป้องขอบเพชร ไม่ให้ได้รับการกระแทก หรือเป็นรอยได้

- แสงผ่านเข้าไปได้มากขึ้น กว่าฝังหุ้มทั้งเม็ด

รูปแบบการฝังเพชร
ฟร้อนเทลรูปแบบการฝังเพชรแบบหนีบหลายเม็ดและแบบหุ้มหัวท้าย

ติดตามเรื่องราวดีๆได้ที่ ฟร้อนเทล @Fronttale.

Comments


"Crafted from Nature , Inspired by Story"

bottom of page